สถาบันพระปกเกล้ารวมพลังจัดทัพ”กลุ่มความหลากหลายทางเพศ”

News Update

สถาบันพระปกเกล้ารวมพลังจัดทัพ”กลุ่มความหลากหลายทางเพศ” ผลักดัน”สมรสเพศเดียวกัน”ยื่น กมธ.เดือนก.พ.นี้

สถาบันพระปกเกล้า โดยกลุ่มนักศึกษารุ่น 9 กลุ่ม 6 เดินหน้าจัดใหญ่ เสวนา“ทิศทาง คู่ชีวิต &สมรสเพศเดียวกัน ฟุบหรือไปต่อ(ทางไหนดี?)” หวังต่อยอดพ.ร.บ. คู่ชีวิตในประเทศไทยเป็นฉบับสมบูรณ์ ลดการเหลื่อมล้ำในสิทธิต่าง ๆ และการใช้ชีวิตคู่ของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยในอนาคต เล็งรวบรวมความคิดเห็นพร้อมบทสรุป ยื่นคณะกรรมาธิการสามัญด้านความหลากหลายทางเพศ(กมธ.) เดือนก.พ.63 นี้

นายกิตตินันท์ ธรมธัช นายกสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย (RSAT) เปิดเผยในงานเสวนาเชิงวิชาการเรื่อง “ทิศทาง คู่ชีวิต &สมรสเพศเดียวกัน ฟุบหรือไปต่อ(ทางไหนดี?)”ที่จัดโดยกลุ่มนักศึกษา กลุ่มที่ 6 (เหยี่ยว) หลักสูตรผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย รุ่นที่ 9 สถาบันพระปกเกล้า ว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติแล้วว่า เป็นดินแดนที่ยอมรับความแตกต่างและความหลากหลายทางเพศ รวมถึงการสมรสของเพศเดียวกัน แต่ยังไม่มีพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายที่ดูแลและให้สิทธิ์เกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่ในกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ทำให้เกิดการจำกัดสิทธิต่างๆ และความไม่เท่าเทียมกันในการใช้ชีวิตคู่ของกลุ่มบุคคลดังกล่าวในประเทศไทย ดังนั้นการจัดเสวนาครั้งนี้ขึ้น เพื่อต้องการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของพ.ร.บ. คู่ชีวิตในประเทศไทย และให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงปัญหาและอุปสรรคของพ.ร.บ.คู่ชีวิต รวมถึงกฎหมายสมรสเพศเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังต้องการรวบรวมข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับ พ.ร.บ.คู่ชีวิต เพื่อนำไปยื่นให้กรรมาธิการ ทั้งฝั่งสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขพ.ร.บ.คู่ชีวิต ที่กำลังจะบัญญัติและประกาศใช้ รวมถึงการแก้ไขข้อกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติ ตราโดยฝ่ายนิติบัญญัติ (สส. และ สว.) ส่วนพระราชกำหนด และพระราชกฤษฎีกา ตราโดยฝ่ายบริหาร เมื่อเสร็จแล้ว นำทูลเกล้าในหลวง เพื่อลงพระปรมาภิไทย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

“ปัจจุบันมีประมาณ 26 ประเทศในโลก ที่มีกฎหมายรับรองการสมรสของบุคคลเพศเดียวกันแล้ว ซึ่งกฎหมายคู่สมรสเพศเดียวกันฉบับแรกในเอเชีย มีขึ้นในประเทศไต้หวัน เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2562 ที่ผ่านมา ไต้หวันมีวิวัฒนาการทางกฎหมายและบริบททางสังคมใกล้เคียงกับประเทศไทยมาก ดังนั้นจึงมองว่าการศึกษาวิวัฒนาการของไต้หวัน น่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมาก เพราะเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการ“ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต” หรือที่เรียกกันว่า “พ.ร.บ.คู่ชีวิต” แล้ว เพื่อเตรียมส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา แต่ที่ผ่านมายังมีข้อถกเถียงกันตลอดว่า บทบัญญัติหลายประการของ พ.ร.บ.นี้ อาจให้สิทธิบางอย่างของคู่ชีวิต ไม่เท่าเทียมกับคู่สมรส”

นายกิตตินันท์ กล่าวว่า คำว่า “สมรส” ที่ถูกบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ปพพ.) ตามหลักกฎหมายครอบครัวของไทยในมาตรา 1448-1460 ได้กำหนดเงื่อนไขอนุญาตให้บุคคลเพศชายและเพศหญิงโดยกำเนิดเท่านั้น ที่สามารถจดทะเบียนสมรส และมีสถานะทางกฎหมายเป็นคู่สมรสหรือสามีภริยาได้ ส่วนคำว่า “คู่ชีวิต”เป็นคำที่ใช้ในพระราชบัญญัติคู่ชีวิตเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่มีการบัญญัติคำนี้ในทางกฎหมายของประเทศไทย โดยสิทธิที่พึงได้รับจาก พ.ร.บ.คู่ชีวิตฉบับที่อยู่ในคณะกรรมการกฤษฎีกา(ซึ่งถือเป็นฉบับที่ 5 จากร่างฉบับที่ 1 เมื่อปีพ.ศ.2555) มีด้วยกันหลายประการ อาทิ สิทธิในการให้และรับมรดก สิทธิในการทำนิติกรรมและจัดการหนี้สินร่วมกัน สิทธิในการอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน สิทธิในการร้องขอต่อศาลเป็นผู้อนุบาลคู่ชีวิตอีกฝ่ายที่วิกลจริตหรือเสมือนไร้ความสามารถหรือไร้ความสามารถ สิทธิในการจัดการทรัพย์สินคู่ชีวิตร่วมกัน ส่วนสิทธิในการอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน และสิทธิในการจัดการทรัพย์สินของคู่รักร่วมกันใช้วิธีการดึงบทบัญญัติตาม ปพพ.มาบังคับใช้โดยอนุโลม

แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนสำคัญที่ยังขาดหายไปใน พ.ร.บ.ฉบับนี้ ที่ต่างจาก ปพพ.ที่คู่สมรสได้รับ มีทั้งการเปลี่ยนคำหน้าชื่อ-สกุล การรับและปกครองบุตรบุญธรรมร่วมกัน และการมีบุตรโดยอาศัยเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ส่วนสวัสดิการต่างๆ ของรัฐที่คู่สมรสพึงได้รับ การลดหย่อนภาษีจากการมีคู่สมรส การเป็นคู่ความประมวลกฎหมายอาญาแทนคู่สมรส สิทธิในกองทุนประกันสังคมของคู่สมรสตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม เป็นต้น ด้วยเหตุผลที่ว่า บทบัญญัติทับซ้อนกับกฎหมายหลายฉบับ ทำให้เกิดความซับซ้อนในกระบวนการร่าง พ.ร.บ. ซึ่งกลุ่มที่ร่าง พ.ร.บ. คาดว่าอาจจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมภายภาคหน้า เนื่องจากเป้าหมายหลักในขณะนี้ คือ ความพยายามผลักดันให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้บังคับใช้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมองว่า การเกิดขึ้นของ พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นการฉายภาพความแตกต่างแปลกแยกจากสังคมของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น โดยมองว่าสิ่งที่ภาครัฐควรทำ คือ เร่งแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เพื่อให้มีความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย ด้วยการแก้ไขที่ปพพ.โดยตรง ไม่ใช่การแยกตัวบทกฎหมายสำหรับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศออกมา

นอกจากนี้ พ.ร.บ.คู่ชีวิตในประเทศไทย จดทะเบียนได้เฉพาะคู่รักเพศเดียวกันเท่านั้น คู่รักต่างเพศ (หญิงและชาย) ไม่สามารถจดทะเบียนคู่ชีวิตได้ เมื่อเปรียบเทียบกับฝั่งของประเทศอังกฤษ ที่มีการให้สิทธิคู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศจดทะเบียนสมรสได้ และมีแผนที่จะให้สิทธิคู่รักต่างเพศ จดทะเบียนคู่ชีวิตได้อย่างคู่รักเพศเดียวกัน เป็นทางเลือกให้แก่คู่รักที่ไม่อยากแต่งงานหรือมีสถานะคู่สมรสสามารถใช้สถานะคู่ชีวิตได้ นับเป็นการเปิดกว้างให้แก่ทุกเพศ เพื่อเลือกทางเดินชีวิตตามสิทธิทางกฎหมายอย่างที่ควรจะเป็น

นายกิตตินันท์ กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต ยอมรับว่ามีทั้งข้อดีและข้อจำกัด จึงนำมาสู่การเสวนาเชิงวิชาการครั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง รวมถึงข้อเสนอแนะในการแก้ไขที่จะเป็นประโยชน์และส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมกันของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศอย่างยั่งยืน

“ในอนาคตอยากเห็นกฎหมาย เรื่องสิทธิความหลากหลายทางเพศ เป็นไปในเรื่องของ ความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย โดยเอาเรื่องเพศออกนอกกรอบของกฎหมาย และให้เป็นเรื่องของสถานภาพของความเป็นบุคคลซึ่งยึดหลัก ในความเท่าเทียมและเท่ากันของบุคคล โดยเอาเรื่องเพศออกนอกกรอบในฐานความคิดกฏหมายในทุกๆเรื่อง เพื่อทำให้กฏหมายแสดงพลังถึงความเท่าเทียมกันของบุคคล โดยไม่คำนึงในกรอบเรื่องเพศอีกต่อไป เพื่อจะทำให้ได้รับสิทธิและเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”

นอกจากนี้ ยังอยากผลักดันให้สามารถใช้ พรบ.คู่ชีวิตให้ได้ก่อน ระหว่างนี้ ทำการแก้ไข ปพพ.การสมรสให้เท่าเทียมและครอบคลุมด้านที่ยังบกพร่อง หลังจากประกาศใช้ ปพพ.ฉบับแก้ไข แล้วจึงมายกเลิก พรบ.คู่ชีวิตอีกที

ด้านอาจารย์อัครวัฒน์ เลาวัณย์ศิริ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะกรรมการสมาคมกฎหมายระหว่างประเทศแห่งประเทศไทย และผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติจดทะเบียนคู่ชีวิต รายแรกที่ได้รับทุนสนับสนุนการทำวิจัยจาก สำนักงานพัฒนาโครงการแห่งสหประชาชาติ(UNDP) กล่าวว่า อยากให้กฎหมายมีความรอบด้าน สามารถคุ้มครองสิทธิได้ครบถ้วน ตั้งแต่สถานะทางเพศ สถานะทางครอบครัว และเรื่องอื่นๆที่สืบเนื่องต่อมาทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม การที่เราจะมีระบบกฎหมายที่สมบูรณ์แบบได้นั้นย่อม ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กฎหมายจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกับกลไกที่จะช่วยขับเคลื่อนไปร่วมกัน

“ตอนนี้ร่างพระราชบัญญัติยังอยู่ในชั้นของกฤษฎีกา ผมคิดว่าเราน่าจะมีกลไกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและองค์ความรู้มากกว่านี้ เพื่อให้คนที่ตัดสินใจและคนที่ทำงาน สามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อสรรสร้างกฎหมายที่ดีที่สุดให้แก่ประเทศไทยได้เว้นวรรค นอกจากนี้ผมคิดว่า ถ้าเราได้รับความร่วมมือ และความช่วยเหลือจากสื่อ และภาคประชาสังคมสารัตถะของกฎหมายที่ค่อนข้างซับซ้อน ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายและประชาชนทุกคนสามารถเข้าใจได้”

อาจารย์เคท ครั้งพิบูลย์ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวมองว่าการเสวนาครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ที่น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนหันมาสนใจเรื่อง LGBT เพราะการจัดเสวนาครั้งนี้ ทำให้เรื่องความหลากหลายทางเพศมีความเป็นสาธารณะมากขึ้น

“กฎหมาย น่าจะเป็นไปตามสิทธิมนุษยชน ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะใช่กฎหมาย พรบ คู่ชีวิตหรือการแก้กฎหมายประมวลแพ่งและพาณิชย์ไหม คิดว่าคนที่มีหน้าที่ก็ควรจะเข้าใจ เพื่อให้กระบวนการแก้กฎหมายง่ายขึ้น อยากให้การแก้กฎหมายนี้เหมือนกัญชา ให้เป็นกระแสที่ทุกพรรคการเมืองกระโดดเข้ามาร่วมหมด”

คุณณิชนัจทน์ สุดลาภา นางแบบและคณะทำงานมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน(Thai TGA) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า พรบ. คู่ชีวิตยังมีบางเรื่อง ที่ไม่ได้รับสิทธิเท่าคนไทยปกติ เช่น เรื่องบุตรบุญธรรม เพราะปัจจุบันมีกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ รับเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรม กฎหมายก็ไม่ออกมารองรับ ซึ่งโดยส่วนตัว ที่ทำงานและพยายามออกมาพูดในเรื่องนี้บ่อยๆ แค่อยากได้สิทธิที่เท่าเทียมกันกับประชาชนคนไทยทุกคน ไม่ได้มีอะไรที่เหนือกว่า หรือด้อยกว่า

“อยากให้มีการแก้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด กฎหมายบางอย่างไม่จำเป็นต้องเขียนหญิงและชายแล้ว บทบาทในสังคมปัจจุบันมีความเท่าเทียมกัน ซึ่งประเทศไทยมาไกลมาก ผู้หญิงได้รับสิทธิ์เท่าเทียมผู้ชายแล้ว แต่กลุ่มคนข้ามเพศ ยังไม่เป็นแบบนั้น อยากให้ทุกคนตื่นตัว ช่วยกันล็อบบี้และเข้าไปคุยกับคนที่มีอำนาจพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง กระทรวงที่ดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อผลักดันเรื่องกฎหมายนี้”