ทีเส็บปิดปีงบ 2562 ไทยยังครองแชมป์ในอาเซียนด้านตลาดการประชุม

Business

ทีเส็บปิดปีงบ 2562 ไทยยังครองแชมป์ในอาเซียนด้านตลาดการประชุม

พร้อมจับมือภาคี ชนะแข่งเป็นเจ้าภาพแล้ว 18 งาน

สรุปปีงบประมาณพ.ศ. 2562 ทีเส็บประกาศความสำเร็จจับมือภาคีร่วมประมูลสิทธิชิงชัย 18 งานประชุมนานาชาติเข้ามาจัดในไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2563-2569 คาดว่ามีผู้เข้าประชุมรวมกว่า 30,000 คน และสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2,500 ล้านบาท ตอกย้ำศักยภาพไทยในฐานะผู้นำตลาดการประชุมนานาชาติของอาเซียนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (พ.ศ. 2559-2561)

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เปิดเผยว่า ตลาดการประชุมนานาชาติ (Conventions) เป็นหนึ่งในตลาดหลักสำคัญของธุรกิจไมซ์ นับว่าความสำเร็จในการประมูลสิทธิงานประชุมนานาชาติเข้าสู่ประเทศไทย สะท้อนถึงศักยภาพของธุรกิจไมซ์ไทยในระดับนานาชาติทุกมิติ ทั้งประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการจัดงานระดับโลก บุคลากรมืออาชีพระดับสากลทั้งสมาคม องค์กร และสถาบันการศึกษาที่เข้มแข็ง ผนวกกับการสนับสนุนจากภาครัฐ ส่งผลให้ไทยคว้าชัยเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมระดับโลกมากมาย ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ด้านการนำเสนอความเจริญก้าวหน้าเชิงวิชาการ และสร้างเครือข่ายแต่ละสาขาวิชาชีพในเวทีนานาชาติแล้ว ยังเปิดโอกาสให้บุคลากรในประเทศเข้าถึงองค์ความรู้ระดับสากล สร้างการเติบโตให้กับทุกอุตสาหกรรมของประเทศผ่านเวทีการประชุมนานาชาติ ตลอดจนสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจ ทั้งจากการเดินทางมาประชุม การท่องเที่ยว และการยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้านการจัดงานระดับโลก

“จากรายงานล่าสุดของสมาคมการประชุมนานาชาติระดับโลกปี พ.ศ. 2561 (International Congress and Convention Association – ICCA) เผยว่าอุตสาหกรรมไมซ์ไทยครองอันดับหนึ่งด้านการจัดประชุมนานาชาติของอาเซียนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (ปี พ.ศ. 2559-2561) โดยมีจำนวนการจัดงาน 174 งาน, 171 งาน และ 193 งานตามลำดับ และขึ้นเป็นอันดับ 4 ของเอเชีย ด้วยจำนวนการจัดประชุมนานาชาติ 193 งาน รองจาก ญี่ปุ่น (จำนวน 492 งาน) จีน (จำนวน 449 งาน) และเกาหลี (จำนวน 273 งาน) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและทิศทางการเติบโตของธุรกิจไมซ์ไทยในภูมิภาคได้เป็นอย่างดี”

ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ทีเส็บร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งสมาคม องค์กร และสถาบันการศึกษา เข้าร่วมประมูลสิทธิ์การจัดงานประชุมนานาชาติเข้ามาจัดในประเทศไทย และได้รับชัยชนะสามารถดึงงานเข้ามาจัดในไทยระหว่างปีพ.ศ. 2563-2569 ได้รวม 18 งาน โดยแบ่งเป็นการจัดงานในปี พ.ศ. 2563 จำนวน 6 งาน / ปีพ.ศ. 2564 จำนวน 7 งาน / ปีพ.ศ. 2565 จำนวน 4 งาน และปีพ.ศ. 2569 จำนวน 1 งาน ประมาณการว่าจะมีผู้เดินทางมาร่วมประชุมจากต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 30,100 คน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2,540 ล้านบาท

งานประชุมนานาชาติที่จะจัดขึ้นในประเทศไทย ครอบคลุมงานประชุมหลากหลายธุรกิจ ทั้งอุตสาหกรรมการแพทย์ การบิน และการศึกษา อาทิ งานประชุม World Congress of Psychiatry 2020 โดยสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย คาดว่าจะมีผู้ร่วมงานจากต่างประเทศ จำนวน 8,000 คน, งานประชุม The Routes Asia Development Forum 2020 โดยบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มีผู้ร่วมงานจากต่างประเทศ 1,500 คน, งานประชุม World Diabetes Congress 2021 โดยสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ มีผู้ร่วมประชุมจากต่างประเทศ 8,000 คน, งานประชุม International Conference on Family Planning 2021 โดยราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย คาดว่าจะมีผู้ร่วมงานจากต่างชาติ 3,500 คน

สำหรับในปี 2563 ทีเส็บ ตั้งเป้าหมายนักเดินทางกลุ่มไมซ์ รวมทั้งสิ้น 37,781,000 คน สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 232,700 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นตลาดต่างประเทศ 1,386,000 คน สร้างรายได้ 105,600 ล้านบาท และตลาดในประเทศ 36,395,000 คน สร้างรายได้ 127,100 ล้านบาท

นอกจากนี้ ทีเส็บ ยังได้จัดงาน International Convention Bid Achievement Appreciation 2019 เพื่อมอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้แก่ภาคีผู้บริหารสมาคม องค์กร และสถาบันการศึกษา ซึ่งได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศไทยในการยื่นประมูลสิทธิ์การจัดงานประชุมนานาชาติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 18 หน่วยงาน ที่สร้างผลงานชนะการประมูลสิทธิ์ดึงงานเข้ามาจัดในประเทศไทยภายใต้การสนับสนุนของทีเส็บ

“การจัดงานมอบรางวัลเชิดชูเกียรติในครั้งนี้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับผู้มีคุณูปการต่อประเทศไทยจากความสำเร็จในการประมูลสิทธิ์จัดงาน ร่วมผลักดันประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดงานประชุมนานาชาติสำคัญระดับโลก ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรของประเทศในสาขาอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยดำเนินงานให้สัมฤทธิ์ผลตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย สร้างความมั่นคงและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอีกด้วย” นายจิรุตถ์ กล่าวสรุป